Saturday, April 16, 2011

เจียวกู้หลาน,เจียวกู่หลาน,เจียวกูหลาน

เจียวกู้หลาน , เจียวกู่หลาน, เจียวกูหลาน, เจียวกูหลัน, เจียวกู้หลัน คนไทยเรียก ปัญจขันธ์ หรือ เบญจขันธ์ เป็นพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วๆ ไปในทวีป เอเซีย เป็นพืชล้มลุก คนไทยเข้าใจว่าเจียวกู้หลานเป็นสมุนไพรที่นำเข้ามาจากประเทศจีน แต่จริง ๆ แล้ว เจียวกู้หลานก็มีในประเทศไทย มีมานานแล้ว แต่ในประเทศไทย ไม่มีการจดบันทึกประวัติ คนไทยเรามีหลักฐานปรากฎว่าเริ่มมีการจดบันทึกกันเป็นหลักฐานก็สมัยสุโขทัย เพราะตามประวัติศาสตร์ไทยเริ่มมีการนำอักษรที่พระร่วง หรือ พ่อขุนรามคำแหงมาใช้กัน แต่ในประเทศจีนมีการจดบันทึกกันมาอย่างยาวนาน กล่าวคือ เจียวกู้หลาน , เจียวกู่หลาน, เจียวกูหลาน, เจียวกูหลัน, เจียวกู้หลัน คนไทยเรียก ปัญจขันธ์ หรือ เบญจขันธ์
ว่าเป็นโสมใต้ เป็นอมตะสมุนไพรที่ฮ่องเต้ จีนใช้บำรุงร่างกายเป็นต้น
เจียวกู้หลาน , เจียวกู่หลาน, เจียวกูหลาน, เจียวกูหลัน, เจียวกู้หลัน คนไทยเรียก ปัญจขันธ์ หรือ เบญจขันธ์ ในที่นี้ขอเรียกว่า " เจียวกู้หลาน"


เจียวกู้หลาน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gynostemma pentaphyllum Makino.
ชื่อวงศ์ : Cucurbitaceae
ชื่อภาษาอังกฤษ : Miracle grass (หญ้ามหัศจรรย์),
Southern ginseng (โสมภาคใต้), 5-Leaf ginseng (โสมห้าใบ)
ชื่อจีน : เจียวกู่หลาน เซียนเฉ่า (สมุนไพรอมตะ)
ชื่อญี่ปุ่น : อะมาซาซูรู (ชาหวานจากเถา)
ลักษณะของเจียวกู้หลาน
พืชเป็นพืชล้มลุกชนิดเถา เลื้อยขนานกับพื้นดิน รากงอกออกจากข้อเป็นประเภทแตงน้ำเต้า มีใบ 3-5 ใบ ด้านบน และด้านล่างใบมีขนอ่อนสีขาวปกคลุม เป็นพืชขึ้นตามธรรมชาติ ส่วนที่นำมาใช้คือส่วนเหนือดินของพืชที่มีอายุ 4-5 เดือน ขึ้นไป
การศึกษาวิจัยปัญจขันธ์ : เจียวกู้หลานมี 2 ชนิด
1.ชนิดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ให้เภสัชสารมากกว่าเจียวกู้หลานปลูก
2.เจียวกู้หลานปลูก นำพันธุ์ มาปลูกตามที่ต่าง ๆ
การศึกษาด้านเพาะปลูก
กระทรวงสาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยสมุนไพร ได้ร่วมมือกับ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จังหวัดเชียงใหม่ ส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกพืชสมุนไพรในพื้นที่ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปใช้ในงานวิจัยของสถาบัน โดยเบื้องต้นได้คัดเลือก เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์ ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ทางสถาบันกำลังดำเนินการอยู่ และส่งเสริมให้เกษตรกรในท้องถิ่นปลูกเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และการศึกษาวิจัยร่วมกันถึงวิธีการปลูก การเก็บเกี่ยว และการขยายพันธุ์ จากการดำเนินการที่ผ่านมาพบว่าผลการผลิต เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์จากพื้นที่ดังกล่าวมีปริมาณสารสำคัญสูงตามเกณฑ ์มาตรฐาน และไม่มีสารปนเปื้อนซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพได้เป็นอย่างดี
การศึกษาวิจัย เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์ : การศึกษาด้านเภสัชวิทยา
ผลจากการศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการพบว่าปัญจขันธ์มีสารที่มีฤทธิ์ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้นอนหลับ รักษาแผล ในกระเพาะอาหารลดระดับไขมันในเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งบางชนิด ยับยั้งการเกาะตัวกันของเกร็ดเลือด ต้านอักเสบ และลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น และนอกจากนี้การศึกษาพิษเรื้อรังในสัตว์ทดลองพบว่ามีความปลอดภัย
การศึกษาวิจัย เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์ : องค์ประกอบทางเคมี
ข้อมูลการวิจัยของวิจัยชาวจีนและ ญี่ปุ่นพบว่า เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์มีสารสำคัญอยู่หลายชนิดที่พบมา เรียกกันทั่วไปว่า Gypenosides เป็นสารจำพวก Saponin ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยกว่า 80 ชนิด และ เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์ยังประกอบด้วยสารสำคัญคือ Gypenosides เป็นสารประเภทไตรเทอร์ปีนซาโปนิน (Triterpene Saponins) ซึ่งมีสูตรโครงสร้าง คล้ายคลึงกับ
Ginsenosides ที่พบในโสม (Panax ginseng) นอกจากนี้ซาโปนิน ที่พบใน เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์มีจำนวน 82 ชนิด แต่ซาโปนินที่พบในโสมมีเพียง 28 ชนิด ในจำนวนนี้มี 4 ชนิดที่เหมือนกัน ได้แก่ Gypenosides Rb1 (Gypenoside III หรือ Gynosaponin C), Ginsenosides Rb3 (Gypenoside IV), Ginsenoside Rd (Gypenoside VIII), และ Ginsenoside F3, (Gypenoside XII) นอกจากนี้ยังมี Gypenosides อีก 11 ชนิด ซึ่งมีสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงกับ Ginsenosides การใช้ประโยชน์ส่วนนี้จะแตกต่างกันบ้าง กล่าวคือ โสมเป็นสมุนไพรร้อน แต่ เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์ เป็นสมุนไพรเย็น

การศึกษาวิจัย เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์ : องค์ประกอบทางเคมีในห้องทดลอง
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ดำเนินการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดเจียวกู่หลานต่อระบบภูมิคุ้มกันแบบอาศัยเซลล์ของหนูถีบจักรที่ถูกกดภูมิคุ้มกันโดยการ ฉายรังสีแถบแกมมาขนาด 4 Gy ก่อนให้สารสกัดขนาด 32 มก./กก./วัน และขนาด 160 มก./กก./วัน เป็นเวลา 10 วัน พบว่าการแบ่งตัวของ
ลิมโฟซัยท์เมื่อถูกกระตุ้นด้วย PHA, LPS และ ConA กลับสู่สภาวะปกติในวันที่ 15 ของการศึกษา เมื่อทดสอบโดยใช้ mononuclear cells จากกระแสเลือดของคนปกติ พบว่าสารสกัดเจียวกู่หลานช่วยเพิ่มการ แบ่งตัวของ ลิมโฟซัยท์ อย่างมีนัยสำคัญที่ความเข้มข้นตั้งแต่ 1 ng/ml ถึง 100 g/ml รวมทั้งแสดงฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์เอชไอวีโปรทีเอสในหลอดทดลองได้ผลดี
เมื่อทดสอบความเป็นพิษทั้งพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรังของสารสกัดเจียวกู่หลานในหนูขาว พบว่าสารสกัดเจียวกู่หลานมีความปลอดภัยสูงแม้ว่าจะให้สารสกัดในขนาดสูงถึง 750 มก./กก./วัน
จากการศึกษาความปลอดภัยของสารสกัดเจียวกู่หลานในอาสาสมัครจำนวน 30 ราย โดยกำหนดเกณฑ์คัดเลือกอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ และเกณฑ์การเลิกการเข้าร่วมการศึกษาอย่างชัดเจน
มีการสัมภาษณ์ ตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการทุก 2 สัปดาห์เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยา ทางชีวเคมีของซีรัม และต่อระบบภูมิคุ้มกัน โดยมีระยะเวลาศึกษาประมาณ 3 เดือน
โดยคัดเลือกอาสาสมัครตามเกณฑ์ที่กำหนด แบ่งอาสาสมัครเป็น 2 ชุดๆละ 15 คน ให้อาสาสมัครชุดที่ 1 รับประทานสารสกัดเจียวกู่หลานแคปซูลครั้งละ 1 แคปซูล (gypenosides 40 มก./แคปซูล)
หลังอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ติดต่อกันนาน 2 เดือน และอาสาสมัครชุดที่ 2 รับประทานสารสกัดเจียวกู่หลานแคปซูลครั้งละ 2 แคปซูล (gypenosides 40 มก./แคปซูล) หลังอาหาร วันละ 2 ครั้ง
เช้า-เย็น ติดต่อกันนาน 2 เดือน เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการเสริมภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ ผลการศึกษาพบว่า เมื่อให้อาสาสมัครรับประทานสารสกัดเจียวกู่หลานแคปซูลครั้งละ 1-2 แคปซูล (gypenosides 40 มก./แคปซูล) วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันนาน 2 เดือน มีความปลอดภัย และไม่พบอาการผิดปกติใดๆ ดังนั้นจึงสมควรศึกษาประสิทธิผลทางคลินิกเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพต่อไป
การใช้ประโยชน์
สรรพคุณ ทั้งต้นตั้งแต่ยอดถึงรากมีส่วนประกอบสำคัญเท่ากับโสมถึง 6 ชนิดรวมกัน ช่วยเสริมสร้างพลัง ช่วยรักษาโรคเฉียบพลันและร้ายแรงของคนวัยกลางคนจนถึงวัยชรา เช่น โรคเส้นเลือดใหญ่อุดตัน ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ เบาหวาน หอบหืด และโรคมะเร็ง นอกจากนั้นยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้เข้มแข็ง มีพลัง ทำให้ร่างกายมีความต้านทานโรค ระบาดได้ และรู้สึกกระชุ่มกระชวย "ฟื้นความหนุ่มสาว" กลับคืนมาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ซึ่งผลการศึกษาวิจัยช่วยให้นอนหลับดี ต้านอนุมูลอิสระ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดระดับไขมันในเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกันยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด เสริมส่งกระบวนการเมตตาบอริซึ่ม ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีมาก
ข้อมูลการวิจัยเพิ่มเติม

ในปี 2543 กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ทำการวิจัยพบสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มอีก ถึง 3 ชนิด คือ เควอซิติน ( Quercetin ) เคมเฟอรอล ( Kaempferol ) เป็นสารกลุ่ม ฟลาโวนอยส์ ( Flavonoids ) มีคุณสมบัติ: ป้องกันการดูดซึมของน้ำตาลในลำไส้เล็ก ทำให้กระแสเลือดหมุนเวียนดี และหลอดเลือดแข็งแรง ยับยั้งการก่อสารมะเร็งเลือด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการแพ้ ยืดอายุเม็ดเลือดขาว โพลีฟีนอล (Polyphenols) มีฤทธิ์ป้องกันอนุมูลอิสระ ลดความเครียด เนื่องมากจากความไม่สมดุลของร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัว ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอกเลือดหัวใจ มะเร็งลำไส้ และ มะเร็งกระเพาะอาหาร ลดคลอเรสเตอรอล เจียวกู่หลาน ช่วยปรับลดระดับคลอเลสเตอรอลชนิด LDL กรดไขมันที่เสีย ที่ทำให้เกิดการอุดตันที่หลอดเลือดหัวใจ จึงเท่ากับ ลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน รักษาสมดุลให้รดไขมัน ชนิด HDL กรดไขมันดี ทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้ดี และลดกรดไขมันอิสระที่เกิดขึ้นเกิดจากการแปรสภาพของกรดไขมันเสีย อีกทั้งเจี่ยวกู้หลานนั้นยังเป็นสมุนไพรประเภทชงคล้ายชา ( ไม่รวมชา ) แต่จะไม่มีสารคาเฟอีน จึงไม่ทำให้เรานอนไม่หลับ
อ้างอิง จากสาราณุกรม เสรี

มะเร็งลำไส้

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้
เป็นมะเร็งของผู้ใหญ่ พบบ่อยเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งทั้งหมดทั้งในเพศชายและเพศหญิงทั่วโลก พบมากในประเทศ แถบอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ยุโรปเหนือ และยุโรปตะวันตก สำหรับในประเทศไทย พบว่าเป็นมะเร็งที่พบ เป็นอันดับ 4 ของมะเร็งทั้งหมดทั้งในเพศชายและเพศหญิงและมากกว่าร้อยละ 90 มักพบในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไปโดยจะพบเพศชายมากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย
ปัจจัยเสี่ยง
1. การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงและมีกากหรือไฟเบอร์น้อย
2. ประวัติการมีเนื้องอกหรือภาวะที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อลำไส้ใหญ่ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีโอกาสเพิ่มการเกิด มะเร็งลำไส้มากขึ้น
3. ประวัติการมีมะเร็งลำไส้ในครอบครัว หรือมะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก และมะเร็งเต้านม พบว่ามีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้มากกว่าคนทั่วไป
อาการและอาการแสดง
อาการของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของโรค โดยทั่วไปอาการที่พบบ่อยที่สุดคือ ปวดท้อง ส่วนอาการอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย ได้แก่ การมีประวัติท้องผูกสลับท้องเสีย (change in bowel habit), คลื่นไส้อาเจียน, ท้องอืด, ถ่ายเป็นเลือด, อ่อนเพลียเบื่ออาหารหรือน้ำหนักลด และอาจพบก้อนในท้อง
การตรวจเพื่อวินิจฉัย
1. ซักประวัติและตรวจร่างกาย
2. เมื่อสงสัยมะเร็งลำไส้ แพทย์อาจตรวจเพิ่มเติมด้วยการเอกซเรย์สวนแป้งทางทวาร รวมทั้งการส่องกล้อง เพื่อประเมินขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของรอยโรค การตัดชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันสามารถทำได้ในระหว่างการส่องกล้อง มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการวินิจฉัย นอกจากนั้น การตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ เพื่อหาระยะของโรค
3. การตรวจเอ็กเซร์ปอด การอัลตราซาวน์ตับ เพื่อดูการแพร่กระจายของโรค
4. การตรวจเลือด ดูการทำงานของไขกระดูก ตับ ไต
การตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ ในผู้ป่วยแต่ละรายแตกต่างการ ทั้งนี้จะเป็นไปตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
ระยะของโรค

มะเร็งลำไส้ แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 – ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังอยู่เฉพาะในตัวลำไส้ใหญ่
ระยะที่ 2 – ก้อนมะเร็งลุกลามออกมาทะลุเนื้อเยื่อของลำไส้ใหญ่ แต่ยังไม่มีการลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง
ระยะที่ 3 – ก้อนมะเร็งอาจลุกลามออกมาทะลุเนื้อเยื่อของลำไส้หรือไม่ก็ได้ แต่มีการลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง
ระยะที่ 4 – ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าอวัยวะใกล้เคียง หรือมีการกระจายไปต่อมน้ำเหลืองไกลๆ หรือกระจายไปยัง อวัยวะอื่นๆที่อยู่ไกลออกได้ ได้แก่ ปอด ตับ เป็นต้น
การรักษา
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ การรักษาหลักในกรณีที่โรคยังไม่แพร่กระจาย คือ การผ่าตัด
การผ่าตัด การผ่าตัดเป็นการตัดเอาก้อนมะเร็งออกและลำไส้บางส่วนร่วมกับต่อมน้ำเหลืองในบริเวณนั้นออก การฉายรังสี และ/หรือยาเคมีบำบัด นิยมใช้เป็นการรักษาเสริม เพื่อเพิ่มผลการรักษาในดียิ่งขึ้น ปัจจุบันมีหลายลักษณะ ซึ่งอาจจะให้ก่อนหรือหลังการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์คำนึงจากระยะของโรคและผู้ป่วยเป็นรายๆ ไป สำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ในระยะที่ 4 ไม่สามารถผ่าตัดได้หรือมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ จุดมุ่งหมายในการ รักษาจะเป็นการประคับประคองอาการ มักจะเริ่มด้วยการในยาเคมีบำบัด สำหรับการฉายรังสีอาจจะช่วยได้ในกรณี การรักษาเพื่อบรรเทาอาการจากเจ็บเวลาถ่าย ปวดทวารหนักจากตัวก้อน หรืออาการปวดของการกระจายของมะเร็ง ไปยังอวัยวะอื่นๆ
การติดตามการรักษา
เมื่อได้รับการรักษาครบเรียบร้อยแล้ว โดยทั่วไปแพทย์จะนัดติดตามอาการ โดยในช่วง 1-2 ปีแรก หลังการรักษา อาจนัดติดตามอาการทุก 1-2 เดือน ปีที่ 3-5 หลังการรักษา อาจนัดตรวจทุก 2-3 เดือน ในปีที่ 5 อาจนัดตรวจทุก 6-12 เดือน
http://www.chulacancer.net/newpage/information/colon_cancer/general-information.html

Saponins

ในพืชและผลข้างเคียงได้รับประโยชน์ซาโปนินโดย คุณพ่อเรย์ Sahelian, MD ซาโปนินไกลโคไซด์และการสกัด
Saponins ที่พบในพืชหลายชนิดและในราชอาณาจักรสัตว์ Saponins มีลักษณะเป็นฟองเนื่องจากคุณสมบัติลดแรงตึงผิวของพวกเขา

ฤทธิ์ทางชีวภาพของ saponins
Saponins มี hemolytic, expectorative, ต้านการอักเสบและ ภูมิคุ้มกัน กระตุ้นกิจกรรม - นอกเหนือจากนั้นแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของยาต้านจุลชีพ saponins โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเชื้อราและนอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียและโปรโตซัว

เคมีของ saponins
Saponins เป็นสารประกอบที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วย triterpene saccharide ที่แนบมากับเตียรอยด์หรือ การสังเคราะห์ของ saponins

แหล่งที่มาของ saponins
Saponins ที่พบในพืชจำนวน ในราชอาณาจักรสัตว์ saponins ที่พบในที่สุด แตงกวาทะเล และปลาดาว

Saponins ที่พบในรวมทั้งจำนวนของอาหารและสมุนไพร :
หญ้าชนิตหนึ่ง สมุนไพร
Agave พืช
Bacopa Monierri -- Bacoside, ส่วนประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพโดยคำกล่าวของอินเดีย Bacopa monnieri พืชสมุนไพรถูกพบว่าเป็นองค์ประกอบส่วนผสมของ saponins bacoside กับ A3, bacopaside II jujubogenin, isomer bacopasaponin bacopasaponin ของ C และ C ที่สำคัญเป็น
Diosgenin คือซาโปนินที่สกัดจาก steroidal (รากของป่ายาม Dioscorea )
เมล็ดฟีนูกรีก สมุนไพร
โสม -- Ginsenoside องค์ประกอบในโสมสมุนไพรของต้นกำเนิดที่แตกต่างกันของความแปรปรวนมาก ซาโปนินเนื้อหาโดยรวมแตกต่างกัน 10 เท่า Chikusetsu ninjin - มาจาก japonicus Panax (ญี่ปุ่น) พบว่ามีเนื้อหามากที่สุด (192.80-296.18 mg / g) และโสมจากโสม Panax จะต่ำสุด
หัวหอมใหญ่หลากหลายสีแดง --
พริกหยวก
ถั่วเหลืองถั่ว -- ถั่วเหลืองมีหลากหลายของสารเคมีที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีศักยภาพ ในบรรดาสารเหล่านี้มีคุณสมบัติคล้ายและ saponins ล่าสุดสิ่งพิมพ์อธิบายกิจกรรมต้านมะเร็งของดิบและถั่วเหลืองบริสุทธิ์ saponins มีจุดประกายความสนใจในสารเหล่านี้ซึ่งได้ทำใหม่
Tribulus terrestris สารสกัดมีการขายมักจะอยู่ในความเข้มข้นของซาโปนินร้อยละ 40

ซาโปนินการศึกษาวิจัย
saponins antispasmodic จากหัวของหอมใหญ่สีแดง cepa, Allium var L. Tropea
J Agric Food Chem 2005 23 กุมภาพันธ์; 53 (4) :935 - 40
การวิเคราะห์ทางพฤกษเคมีของสารสกัดจากขั้วหลอดไฟสีแดงของ Allium cepa L. var Tropea, โดยทั่วไปของ Calabria, ภาคใต้ของอิตาลีได้ใช้งานอย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรกที่นำไปสู่การแยกของสี่ saponins furostanol ใหม่ชื่อ tropeoside A1/A2 (1a/1b) และ B1/B2 tropeoside (3a/3b) พร้อมกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า O - methyl - 22 ตามลำดับ (2a/2b และ 4a/4b), เกือบแน่นอน artifacts สกัด ปริมาณสูง A1/A2 ascalonicoside (5a/5b) และ ascalonicoside B (6) ที่แยกออกมาก่อนหน้านี้จาก Hort Allium ascalonicum., นี้ยังได้พบ นี้เป็นรายงานแรกของ saponins furostanol ในนี้หลากหลาย A. cepa ความเข้มข้นสูงของสาร quercetin, quercetin 4 (I) - glucoside, taxifolin, taxifolin 7 - glucoside, และเฟนนิลยังถูกแยก saponins ใหม่พบว่ามีกิจกรรม antispasmodic ในหนูตะเภาที่แยก ileum; ผลกระทบดังกล่าวอาจนำไปสู่การอธิบายการใช้แบบดั้งเดิมของหัวหอมในการรักษาของการแปรปรวนของระบบทางเดินอาหาร

[การสืบสวนในการยับยั้งและ apoptosis - inducing ผลกระทบของ saponins จาก Tribulus terrestris ในเซลล์ตับ BEL - 7402]
Zhongguo Zhong Yao Za Zhi กรกฎาคม 2004; 29 (7) :681 - 4
ในการตรวจสอบและยับยั้งการเกิด apoptosis - inducing ผลกระทบของ saponins จาก Tribulus terrestris ในเซลล์มะเร็งตับสาย BEL - 7402 วิธีการ : MTT, SRB, Wright ย้อมสีย้อมสีส้ม acridine, โฟ, และอิมมูโนกล้องจุลทรรศน์ในการประเมินผลกระทบของการ STT บน BEL เซลล์เส้น - 7402 SMT มีผลยับยั้งเซลล์ที่มีศักยภาพในสาย BEL - 7402 ในลักษณะความเข้มข้นขึ้นกับ BEL - 7402 การเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานวิทยา exibited เซลล์ปกติของการตายเมื่อย่อย G1 อาจจะเห็นจุดสูงสุด 2 การแสดงออกของ Bcl - มีค่าลดลงใน terrestris tribulus ซาโปนินรับการรักษาเมื่อเทียบกับเซลล์เป็นเซลล์ที่ควบคุมไม่ถูกรักษา Tribulus terrestris exerts ผลกระทบที่มีต่อความเป็นพิษต่อ BEL - 7402 เซลล์โดย inducing apoptosis

Sterols พิษเพิ่มเติมและ saponins จาก semiregularis certonardoa ปลาดาว
J Nat Prod ตุลาคม 2004; 67 (10) :1654 - 60
สิบสองใหม่ (1-7, 9-13) polyhydroxysterols และสอง saponins ใหม่ (14 และ 15) ถูกแยกจาก semiregularis Certonardoa ปลาดาว by - แนะนำลำดับส่วนกิจกรรม สาร 1-7 เป็นตัวอย่างที่หายากของ - คีโตเตียรอยด์ 15 จากปลาดาว โซ่ข้างของสารประกอบ 11 ซึ่งยังเป็นประวัติการณ์ในธรรมชาติ โครงสร้างได้รับการพิจารณาโดยวิธีทางสเปกโทรสโกรวมและอนุพันธ์เคมี สารเหล่านี้ประเมินความเป็นพิษต่อกับแผงขนาดเล็กของมนุษย์เซลล์เนื้องอกที่เป็นของแข็งและส่วนมากของพวกเขาแสดงฤทธิ์มาก หนึ่งใน Sterols 15 - คีโต (6) แสดงความแรงสูงสุดซึ่งเทียบได้กับที่ของ doxorubicin

Saponins จากพืชตระกูลถั่วกินได้ : เคมี, การประมวลผลและประโยชน์ต่อสุขภาพ
J Med อาหาร ฤดูใบไม้ผลิ 2004; 7 (1) :67 - 78
ชิ J, K Arunasalam, Yeung D, Y Kakuda, G Mittal, Jiang Y.
ศูนย์อาหาร Guelph วิจัยการเกษตรและอาหารเกษตรแคนาดา, Guelph, Ontario, Canada
ความต้องการสินค้าเพราะถั่วมีการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ของหลายองค์ประกอบการส่งเสริมสุขภาพในถั่วกินได้เช่น saponins Saponins มีสารประกอบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีการกระจายอย่างกว้างขวางในทุกเซลล์ของพืชตระกูลถั่ว Saponins ซึ่งได้มาซึ่งชื่อนี้มาจากความสามารถในการฟอร์มมั่นคงโฟม soaplike ในสารละลายน้ำ, ประกอบและกลุ่มความหลากหลายทางเคมีของสารที่ซับซ้อน ในแง่เคมี, saponins มีคาร์โบไฮเดรตครึ่งแนบกับ triterpenoid หรือเตียรอยด์ Saponins จะดึงดูดความสนใจมากเป็นผลลัพธ์ที่มีความหลากหลายของคุณสมบัติของพวกเขาทั้งอันตรายและเป็นประโยชน์ การศึกษาทางคลินิกได้ชี้ให้เห็นว่าองค์ประกอบเหล่านี้ - ส่งเสริมสุขภาพ, saponins, ผลต่อระบบภูมิคุ้มกันด้วยวิธีการที่ช่วยปกป้องร่างกายมนุษย์กับมะเร็งและยังลดระดับคอเลสเตอรอล Saponins ไขมันในเลือดลดลง, ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและน้ำตาลในเลือดต่ำการตอบสนอง ซาโปนินอาหารสูงสามารถนำมาใช้ในการยับยั้งการรวมตัวของฟันผุและเกล็ดเลือดในมนุษย์ในการรักษาของ hypercalciuria และเป็นพิษเฉียบพลันต่อยาแก้พิษตะกั่ว ในการศึกษาทางระบาดวิทยา, saponins ได้รับการแสดงที่มีความสัมพันธ์ผกผันกับหินอุบัติการณ์ของไต กระบวนการให้ความร้อนเช่นการบรรจุกระป๋องเป็นวิธีการทั่วไปในการประมวลผลถั่ว การศึกษาครั้งนี้แสดงความคิดเห็นต่อผลของกระบวนการให้ความร้อนต่อคุณลักษณะและความมั่นคงของ saponins ในผลิตภัณฑ์ถั่วกระป๋อง Saponins มีความร้อนมีความละเอียดอ่อน ในระหว่างการแช่และการลวก, บางส่วนของ saponins ที่ละลายในน้ำและการสูญเสียในการสุราแช่, ซักผ้า, และลวก กระบวนการความร้อนที่เหมาะสมสามารถเพิ่มความมั่นคงและรักษา saponins ในผลิตภัณฑ์ถั่วกระป๋องที่มีประโยชน์สำหรับการให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมอาหารเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีการประมวลผลความร้อนและเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ถั่ว

การแยกซาโปนินใหม่และผลทดสอบความเป็นพิษของ saponins จากรากของ grandiflorum Platycodon ต่อเซลล์มะเร็งของมนุษย์
Planta Med มิถุนายน 2005; 71 (6) :566 - 8
นวนิยายซาโปนิน triterpenoid, E deapioplatycoside (1) ที่แยกได้จากรากของสารสกัดจาก grandiflorum Platycodon ร่วมกับเจ็ด saponins ที่รู้จักกัน 2 -- 8, คือ, E platycoside (2), D3 deapioplatycodin (3), D3 platycodin (4), D2 polygalacin (5), D2 platycodin (6), deapioplatycodin D (7) และ platycodin D (8) ซาโปนินส่วนมันดิบ (ED50 :. ประมาณ 10 -- 15 microg / มิลลิลิตร) และสาร 6 -- 8 แสดงการยับยั้งอย่างมีนัยสำคัญ) การแพร่กระจายของห้าชนิดของเซลล์มะเร็งของมนุษย์ที่เพาะเลี้ยงเส้นคือ A549 ขนาดเล็กเซลล์ไม่ (ปอด, SK - OV - 3 (รังไข่), SK - MEL - 2 (Melanoma), XF498 (ระบบประสาทส่วนกลาง) และ HCT - 15 (ลำไส้ใหญ่) ในหลอดทดลอง

คำถามที่
ฉันต้องการทราบว่ามันเป็นความจริงที่ saponins สามารถช่วยให้ตับอ่อนทำงานตามปกติอีกครั้ง
มีโรคต่างๆที่เป็นสมุนไพรต่างๆมีชนิดของ saponins ในพวกเขาและตับอ่อนมีหลายชนิด ดังนั้นคำถามนี้กว้างเกินไปที่จะสามารถให้คำตอบที่เฉพาะเจาะจง

Quercetin

Quercetin อยู่ในกลุ่มของสารที่เรียกว่า flavonoids พืชที่ให้ผลไม้หลายดอกและผักสีของพวกเขา
เช่น flavonoids quercetin มีสารต้านอนุมูลอิสระ -- ต่อต้าน อนุภาคสร้างความเสียหายในร่างกายที่เรียกว่าอนุมูลอิสระที่เยื่อหุ้มเซลล์เกิดความเสียหายความยุ่งเกี่ยวกับดีเอ็นเอและยังก่อให้เกิดการตายของเซลล์
สารต้านอนุมูลอิสระสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและอาจจะลดลงหรือแม้กระทั่งช่วยป้องกันไม่ให้บางส่วนของพวกเขาก่อให้เกิดความเสียหาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ LDL ("ไม่ดี") คอเลสเตอรอลจากการเสียหายซึ่งนักวิทยาศาสตร์คิดว่าอาจนำไปสู่​​การเป็นโรคหัวใจ ในหลอดทดลอง, quercetin มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่ง แต่นักวิจัยไม่แน่ใจว่าการ quercetin (และสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ อีกมากมาย) มีผลเดียวกันในร่างกาย
quercetin การกระทำเช่น antihistamine และต้านการอักเสบและอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
ภูมิแพ้, หอบหืดไข้ละอองฟางและลมพิษ
ในหลอดทดลอง, quercetin ป้องกันไม่ให้เซลล์ภูมิคุ้มกันจาก histamines ปล่อยสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ บนพื้นฐานที่นักวิจัยคิดว่าสาร quercetin ที่อาจช่วยลดอาการของโรคภูมิแพ้รวมทั้งอาการน้ำมูกไหล, น้ำตาไหล, ลมพิษและอาการบวมของใบหน้าและริมฝีปาก อย่างไรก็ตามมีหลักฐานใดเป็นอีกว่าการทำงานในมนุษย์
โรคหัวใจ
หลอดทดสอบ, สัตว์, และบางการศึกษาประชากรที่ใช้แสดงให้เห็นว่า flavonoids quercetin Resveratrol,, และ catechins (ทั้งหมดที่พบในความเข้มข้นสูงในไวน์แดง) อาจช่วยลดความเสี่ยงของหลอดเลือด (คราบจุลินทรีย์สร้างขึ้นในหลอดเลือดที่จะนำไปสู่​​หัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมอง) สารอาหารเหล่านี้จะปรากฏเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการ LDL ("ไม่ดี") คอเลสเตอรอลและอาจช่วยป้องกันการตายจากโรคหัวใจ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่จะมีการศึกษามองที่ flavonoids ในอาหารที่ไม่เป็นอาหารเสริม การศึกษาสัตว์ได้ใช้จำนวนเงินที่มีขนาดใหญ่มากของ flavonoids (มากกว่าจะสามารถเข้ามาผ่านเสริม) การศึกษาเพิ่มเติมในผู้ที่มีความจำเป็นเพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์เสริม flavonoid ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คอเลสเตอรอลสูง
การศึกษาการทดสอบหลอดแสดง quercetin ที่ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อคอเลสเตอรอลและการศึกษาประชากรแสดงให้เห็นว่าผู้ที่กินอาหารที่มีสูงใน flavonoids ลดคอเลสเตอรอล หนึ่งการศึกษาพบว่าคนที่เอา quercetin และไวน์แดงปราศจากแอลกอฮอล์สกัด (ซึ่งมี quercetin) มีความเสียหายน้อยกว่าคอเลสเตอรอล การศึกษาเพิ่มเติมมีความจำเป็น แต่เพื่อแสดงว่าการเสริม quercetin จะมีผลเช่นเดียวกัน
ความดันเลือดสูง
การศึกษาแสดงว่าการเสริม quercetin ช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
interstitial cystitis
สองการศึกษาขนาดเล็กที่แนะนำให้ผู้ที่มี cystitis interstitial อาจได้รับประโยชน์จาก flavonoids ผู้ที่มีสภาพนี้มีอาการปวดกระเพาะปัสสาวะซึ่งคล้ายกับการติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะและมักจะได้รับจำเป็นเร่งด่วนในปัสสาวะ ในการศึกษาทั้งสองคนที่เอาเสริม quercetin ที่มีปรากฏว่ามีอาการน้อยลง อย่างไรก็ตามการศึกษารวม flavonoids อื่น ๆ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่รู้จักที่หนึ่งที่อาจมีผลประโยชน์มากที่สุด การศึกษาเพิ่มเติมและดีกว่าที่ออกแบบมีความจำเป็น
ต่อมลูกหมากอักเสบ
บางหลักฐานเบื้องต้นแสดง quercetin ที่อาจลดอาการของต่อมลูกหมากอักเสบ (การอักเสบของต่อมลูกหมาก) หนึ่งการศึกษาขนาดเล็กพบว่าผู้ชายที่เอา quercetin มีการลดลงในอาการเมื่อเทียบกับคนที่เอายาหลอก การศึกษามีขนาดเล็ก แต่และผลจำเป็นต้องได้รับการยืนยันโดยการศึกษาอื่น ๆ
โรคไขข้ออักเสบ (RA)
มีรายงานของผู้ที่มี RA ที่มีอาการน้อยลงเมื่อพวกเขาเปลี่ยนจากอาหารตะวันตกโดยทั่วไปในอาหารมังสวิรัติที่มีจำนวนมากของผลเบอร์รี่สด, ผลไม้, ผัก, ถั่ว, ราก, เมล็ดและต้นกล้าที่มีสารต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งมีสาร quercetin แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีผลในเชิงบวกเนื่องจากโดยตรงกับสารต้านอนุมูลอิสระและไม่มีหลักฐานว่าผลิตภัณฑ์เสริม quercetin จะช่วยรักษา RA
โรคมะเร็ง
flavonoids quercetin และอื่น ๆ ที่มีอยู่ในผักและผลไม้ นักวิทยาศาสตร์ได้พิจารณายาวที่สำคัญในการป้องกันโรคมะเร็ง ผู้ที่กินผักผลไม้มีแนวโน้มที่จะมีการลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด สัตว์และการศึกษาการทดสอบหลอด flavonoids ขอแนะนำให้ทำแน่นอนมีคุณสมบัติป้องกันมะเร็ง flavonoids quercetin และอื่น ๆ ได้รับการแสดงในการศึกษาเหล่านี้เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งจากเต้านมลำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมาก, รังไข่, เยื่อบุโพรงมดลูกและเนื้องอกปอด อย่างไรก็ตามการวิจัยมากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น
แหล่งที่มาของอาหาร :
ผักและผลไม้ -- ผลไม้โดยเฉพาะส้ม, แอปเปิ้ล, หัวหอม, ผักชีฝรั่ง, น้ำชาและไวน์แดง -- เป็นแหล่งอาหารหลักของสาร quercetin น้ำมันมะกอก, องุ่น, เชอร์รี่สีเข้มและผลเบอร์รี่สีเข้ม -- เช่นบลูเบอร์รี่, blackberries, และ bilberries -- นอกจากนี้ยังมีสูงใน flavonoids, quercetin รวมทั้ง

อ้างอิงจาก http://translate.google.co.th/translate?hl=th&sl=en&u=http://www.umm.edu/altmed/articles/quercetin-000322.htm&ei=rgqpTZvTBIzrrQemxo2nCA&sa=X&oi=
translate&ct=result&resnum=1&ved=0CCMQ7gEwAA&prev=/search%3Fq%3Dhttp://www.umm.edu/altmed/articles/quercetin-000322.htm%26hl%3Dth%26biw%3D1024%26bih%3D641%26prmd%3Divns

โพลีฟีน : สารต้านอนุมูลอิสระ

โพลีฟีน : สารต้านอนุมูลอิสระ
งานวิจัยเกี่ยวกับผลของโพลีฟีนอาหารต่อสุขภาพของมนุษย์ได้มีการพัฒนามากในอดีต 10 วาย มันขอสนับสนุนบทบาทสำหรับโพลีฟีนในการป้องกันโรคเสื่อมโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคมะเร็งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีนได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่ากลไกการออกฤทธิ์ของโพลีฟีนไปไกลกว่าการมอดูเลตของความเครียดออกซิเด นี้ปัญหาเพิ่มเติมของอเมริกันวารสารคลินิกโภชนาการที่เผยแพร่ในสุขภาพโอกาสที่ 1 การประชุมหารือและโพลีฟีนและข้อเสนอทางระบาดวิทยาสุขภาพภาพรวมการทดลองทางคลินิกและหลักฐานของผลกระทบของโพลีฟีนบน

คำสำคัญ : โพลีฟีน•สารต้านอนุมูลอิสระ flavonoids •สุขภาพ••โรคหัวใจ•โรคมะเร็ง

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีนที่มีมากที่สุดในอาหาร การบริโภคสารอาหารของพวกเขาทั้งหมดอาจจะสูงถึง 1 กรัม / วันซึ่งสูงกว่าที่ของชั้นเรียนอื่น ๆ ทั้งหมดของ
phytochemicals และสารต้านอนุมูลอิสระในอาหารที่รู้จักกัน สำหรับมุมมองนี้เป็น ~ 10 ครั้งสูงกว่าการรับประทานวิตามินซีและ 100 เท่าของระดับสูงที่การบริโภคของวิตามินอีและ
Carotenoids ( 1 , 2 ) แหล่งที่มาของอาหารหลักเป็นผลไม้และเครื่องดื่มที่ได้จากพืชเช่นน้ำผลไม้, ชา, กาแฟและไวน์แดง ผัก, ธัญพืช, ช็อคโกแลตและพืชตระกูลถั่วแห้งยังนำไปสู่​​การบริโภคโพลีฟีนทั้งหมด

แม้จะมีการกระจายกว้างของพวกเขาในพืช, ผลกระทบต่อสุขภาพของโพลีฟีนอาหารก็มาถึงความสนใจของโภชนาการเท่านั้น แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ จนถึงกลางปี​​ 1990,
การศึกษาสารต้านอนุมูลอิสระอย่างกว้างขวางมากที่สุดคือวิตามินสารต้านอนุมูลอิสระ, Carotenoids, และแร่ธาตุ งานวิจัยเกี่ยวกับ flavonoids และโพลีฟีนอื่น ๆ ,
คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของพวกเขาและผลกระทบของพวกเขาในการป้องกันโรคอย่างแท้จริงเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ 1995 รูป (1 ) flavonoids
แทบจะไม่ถูกพูดถึงในหนังสือเรียนที่สารต้านอนุมูลอิสระที่ประกาศก่อนวันที่ ( 3 ) ปัจจัยหลักที่มีความล่าช้างานวิจัยเกี่ยวกับโพลีฟีน
คือความหลากหลายมากและความซับซ้อนของโครงสร้างทางเคมี

ขอหลักฐานปัจจุบันสนับสนุนการมีส่วนร่วมของโพลีฟีนเพื่อการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดโรคกระดูกพรุนของโรคมะเร็งและและชี้ให้เห็นบทบาทใน (neurodegenerative
การป้องกันโรคเบาหวานและ mellitus 4 ) อย่างไรก็ตามความรู้ของเรายังคงปรากฏ จำกัด เกินไปสำหรับการกำหนดข้อเสนอแนะสำหรับประชาชนทั่วไปหรือสำหรับกลุ่มเป้า
หมายเฉพาะที่มีความเสี่ยงของโรคเฉพาะ หลักฐานสำหรับ flavonoids ลดความเสี่ยงโรคโดยมีการพิจารณา"ไปได้"สำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือดและ"ไม่เพียงพอ"
สำหรับโรคมะเร็งในรายงานล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก ( 5 ) วัตถุประสงค์ของการประชุมนานาชาติครั้งที่ 1 ในโพลีฟีนและสุขภาพ (Vichy, ฝรั่งเศส, 18-21 พฤศจิกายน, 2004)
ได้นำเสนอภาพรวมของความรู้ในปัจจุบันของเราในสมาคมระหว่างปริมาณโพลีฟีนและโรคและสุขภาพและเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญที่รอความละเอียด มากกว่า 350 การสื่อสารจาก>
30 ประเทศถูกนำเสนอ บทความที่รวมอยู่ในเล่มนี้จะสอดคล้องกับการบรรยายรับเชิญที่นำเสนอในที่ประชุม
ส่วนมากหลักฐานในการป้องกันโรคด้วยโพลีฟีนได้มาจากการทดลองในหลอดทดลองหรือสัตว์ซึ่งจะดำเนินการมักจะมีปริมาณมากขึ้นกว่าที่มนุษย์จะสัมผัสผ่านอาหาร
หนึ่งจุดประสงค์ของการประชุมและของปริมาณการนี​​้คือการทบทวนบางหลักฐานสำหรับผลกระทบต่อสุขภาพของโพลีฟีนในมนุษย์จากการทดลองทางคลินิกและการศึกษาทางระบาดวิทยา
โพลีฟีนอย่างชัดเจนปรับปรุงสถานะของความเครียดที่แตกต่างกันออกซิเดชั่ biomarkers ( 6 ) ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่มาก แต่ทั้งสองเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของ biomarkers
เหล่านี้เป็นตัวพยากรณ์ความเสี่ยงโรคและความเหมาะสมของวิธีการต่างๆที่ใช้ ( 7 ) ความคืบหน้าได้รับการทำที่สำคัญในโรคหัวใจและหลอดเลือดของเขตข้อมูลและวันนี้มันจะจัดตั้งขึ้นเป็นอย่างดีว่า
โพลีฟีนบางผู้เป็นอาหารเสริมหรืออาหารจะปรับปรุงภาวะสุขภาพตามที่ระบุโดย biomarkers หลายที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
( 8 -- 10 ) การศึกษาระบาดวิทยามีแนวโน้มที่จะยืนยันผลการป้องกันการบริโภคโพลีฟีนกับโรคหลอดเลือดหัวใจ ( 11 ) ในทางตรงกันข้ามหลักฐานเพื่อป้องกันผลกระทบของโพลีฟีนกับมะเร็ง,
โรค neurodegenerative และการเสื่อมสภาพการทำงานของสมองส่วนใหญ่ยังคงมาจากการทดลองในสัตว์และในการศึกษาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ( 12 , 13 );
เรารอคอยการค้นพบของ biomarkers การทำนายโรคดังกล่าวหรือการแทรกแซงการศึกษาขนาดใหญ่ , คล้ายกับที่ทำกับสารต้านอนุมูลอิสระ nonphenolic ( 14 )

หนึ่งในปัญหาสำคัญของ elucidating ผลกระทบต่อสุขภาพของโพลีฟีนเป็นจำนวนมากของสารฟีนอลที่พบในอาหาร ( 15 ),
ลผลิตฤทธิ์ทางชีวภาพที่แตกต่างกันดังแสดงในหลายในการศึกษาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ( 16 , 17 ) ความแตกต่างที่สำคัญในขณะนี้ดูดซึมได้ดีขึ้นและปัจจัยมีผลต่อโครงสร้างของเป็นที่เข้าใจดีกว่า ( 18 )
ปัญหานี้ถูกนำมาสนทนาที่มีความยาวในระหว่างการประชุม สารที่ใช้งานอยู่อาจจะไม่โพลีฟีนพื้นเมืองที่พบในอาหารซึ่งมักจะผ่านการทดสอบมากที่สุดในการศึกษาในหลอดทดลองพวกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นสาร
( 19 ) สารสำคัญของจุลินทรีย์ได้รับการเน้นย้ำในการศึกษาล่าสุดบาง exemplified โดย equol, สารสำคัญของ daidzein ( 20 ) โพลีฟีนเป็น conjugated อย่างกว้างขวางในร่างกายและสาร
nonconjugated ส่วนใหญ่มักจะคิดเป็นสัดส่วนรายย่อยของสารที่หมุนเวียน เป็นที่รู้จักกันน้อยมากในขณะนี้เกี่ยวกับฤทธิ์ทางชีวภาพของสารคอนจูเกตเหล่านี้ ( 1 ) Glucuronides
ของคุณสมบัติคล้ายและ epicatechin มีการแสดงที่มี estrogenic กิจกรรมปรับตัวลดลงมากและไม่มีการป้องกันให้กับความเครียดออกซิเดในเซลล์ที่ปลูกในหลอดทดลอง ( 21 , 22 )
ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าส่วนมากของการศึกษาในหลอดทดลองเผยแพร่ในวันที่จะต้องได้รับการ reevaluated, ในแง่ของข้อมูลใหม่ที่ดูดซึมโพลี

ร่างกายมากสนับสนุนบทบาทของวรรณกรรมสำหรับความเครียดออกซิเดชั่พยาธิกำเนิดของโรคในคนที่เกี่ยวข้องกับอายุและการมีส่วนของโพลีฟีนอาหารเพื่อการป้องกันของพวกเขา
ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสถานะสารต้านอนุมูลอิสระและโรคยังคงเข้าใจได้ไม่ดีและได้รับการศึกษาอย่างละเอียด เป็นเวลาหลายปีและสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีนอื่น ๆ
มีความคิดในการป้องกันองค์ประกอบความเสียหายต่อเซลล์ที่ผ่านการถ่ายของเสียออกซิเดของอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตามแนวความคิดนี้ในขณะนี้ดูเหมือนจะเป็นมุมมองของการกระทำของพวกเขา
oversimplified โหมดของ ( 23 ) มีแนวโน้มที่เซลล์ตอบสนองต่อการโพลีฟีนส่วนใหญ่ผ่านการติดต่อโดยตรงกับตัวรับหรือเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดสัญญาณซึ่งอาจส่งผลใน
การปรับเปลี่ยนของสถานะปฏิกิริยาของเซลล์และอาจเรียกชุดของปฏิกิริยาขึ้นกับดอกซ์ ( 24 -- 26 ) ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและผลของโพลีฟีน prooxidant ได้รับการอธิบายด้วยลักษณะ
พิเศษซึ่งแตกต่างกันในทางสรีรวิทยาของเซลล์กระบวนการ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีนอาจช่วยปรับปรุงความอยู่รอดของเซลล์เป็น prooxidants
ก็อาจทำให้เกิดการตายและป้องกันการเจริญเติบโตของเนื้องอก ( 12 ) อย่างไรก็ตามผลกระทบทางชีวภาพของโพลีฟีนอาจขยายดีเกินการปรับความเครียดออกซิเด
หนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดที่รู้จักกันเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ของถั่วเหลืองที่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนหญิงและตัวรับผลกระทบของสารเหล่านี้ต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อ
ผลเหล่านี้สามารถอธิบาย (การป้องกันโดยคุณสมบัติคล้ายกระดูกในสตรีวัยหมดประจำเดือน resorption 27 ) ความเข้าใจรายละเอียดของกิจกรรมในระดับโมเลกุลที่อยู่ภาย
ใต้ผลกระทบทางชีวภาพต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประเมินผลกระทบโดยรวมต่อความเสี่ยงโรคและความก้าวหน้า

หลักฐานปัจจุบันผลของโพลีฟีนกับการป้องกันโรคได้สร้างความคาดหวังใหม่สำหรับการปรับปรุงในด้านสุขภาพด้วยความสนใจจากอุตสาหกรรมอาหารและ
โภชนาการเสริมเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์โพลีฟีนที่อุดมด้วย แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะประเมินผลประโยชน์ส่วนบุคคลและสังคมที่เพิ่มขึ้นของปริมาณ
โพลีฟีนอาจมีสำหรับประชาชนทั่วไปหรือสำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะโรคที่เฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในการบริโภคของโพลีฟีนเป็นสำหรับ
phytomicronutrients อื่น ๆ อีกมากมายไม่อาจจะไม่มีความเสี่ยง ( 28 ) อันตรายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของโพลีฟีนมีเอกสาร แต่การประเมินผลในหมู่มนุษย์ก็ยัง
จำกัด มาก สุดท้ายเราไม่ควรลืมว่าโพลีฟีนจำนวนมากมีรสชาติและ / หรือ (สี 29 ) อาหารต้องไม่ดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังยอมรับของผู้บริโภค

บูรณาการผลการทดสอบที่ผ่านมาและในอนาคตในสาขาวิชาต่างๆรวมถึงชีวเคมี, ชีววิทยาของเซลล์สรีรวิทยาพยาธิสรีรวิทยา,
ระบาดวิทยาและเคมีอาหารจะเป็นที่ต้องการเพื่อระบุโพลีฟีนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและเพื่อกำหนดระดับที่เหมาะสมของการบริโภคเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า
ความพยายามในงานวิจัยนี้จะได้ประสานงานกับความพยายามในปัจจุบันเพื่อระบุ biomarkers ถูกต้องมากขึ้นของความเสี่ยงสำหรับโรคที่เกี่ยวกับโภชนาการและควรนำ
ไปสู่​​ข้อเสนอแนะอาหารและสูตรของผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี

ข้อมูลอ้างอิง

โรคหัวใจขาดเลือด

โรคหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองจากอุบัติเหตุ ผู้ป่วยที่เป็นโรค นี้จะมีผนังหลอดเลือดหัวใจตีบตันเนื่องจากการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
(platelet aggregation) ในรายที่มีอาการรุนแรง
จะเสียชีวิตเฉียบพลันหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ปัจจุบันแพทย์นิยมให้ยาละลายเกล็ดเลือด เช่น aspirin, ibuprofen และ heparin เพื่อลดการอุดตันในหลอดเลือด

เมื่อเกิดบาดแผลฉีกขาดมีเลือดออก สักครู่เลือดจะแข็งตัวและหยุดไหลได้เองซึ่งเป็นการรักษาตัวเองตามธรรมชาติ ผู้ที่สูญเสียกลไกนี้ไปจะมีอาการเลือดออกผิดปกติหรือเลือดแข็งตัวช้านั่นเอง
ทางตรงกันข้ามผู้ป่วยบางคนกลับมีเลือดแข็งตัวผิดปกติจนเป็นลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดสำคัญๆ ของร่างกาย การห้ามเลือดเป็นขบวนการทางชีวเคมีที่สำคัญของร่างกายเพื่อควบคุมให้เลือดคง
สภาพเป็นของเหลวไหลเวียนเป็นปกติอยู่ภายในหลอดเลือด และเปลี่ยนสภาพเป็นลิ่มเลือด เพื่อให้เลือดหยุดเมื่อมีการทำลายของหลอดเลือด ทั้งนี้จะต้องอาศัยความสมดุลระหว่าง 2 ขบวนการสำคัญ ได้แก่
ขบวนการแข็งเป็นลิ่มของเลือด และขบวนการสลายลิ่มเลือด การควบคุมการไหลเวียนเลือดให้เป็นปกตินั้น ประกอบด้วยระบบการทำงานที่สำคัญดังต่อไปนี้ คือ ระบบหลอดเลือดและการซ่อมแซมในตำแหน่งที่
ได้รับอันตราย ระบบเกล็ดเลือด การสร้างลิ่มเลือดและระบบควบคุม การสลายลิ่มเลือดและระบบควบคุม ขบวนการเหล่านี้ต้องทำงานร่วมกันเป็นระบบจึงจะมีประสิทธิภาพ และต้องอยู่ในภาวะสมดุล
ถ้าเกิดการเสียสมดุลจะทำให้เกิดความผิดปกติ เช่น ถ้าเกิดการเสียสมดุลของการทำงานของระบบห้ามเลือด ก็จะทำให้มีภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ หรือ มีภาวะการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือดได้

โครงสร้างของหลอดเลือดแบ่งเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ชั้นในประกอบไปด้วยเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดที่เรียงตัวเป็นชั้นเดียวยึดติดกัน ทำหน้าที่สร้างและปล่อยสารต่างๆ
เข้าสู่กระแสเลือด และกั้นไม่ให้เลือดและส่วนประกอบของเลือดออกไปนอกหลอดเลือด ชั้นกลางประกอบไปด้วยเซลล์กล้ามเนื้อเรียบเป็นส่วนใหญ่ และความหนาของชั้นนี้จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของหลอดเลือด ชั้นนอกประกอบไปด้วยเยื่ออีลาสติกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่สำคัญคือคอลลาเจน อีลาสติน และไมโครไฟบริล ในภาวะปกติ หลอดเลือดจะมีส่วนสำคัญในการควบคุมเลือดให้ไหลเวียนอยู่ในหลอดเลือดได้อย่างปกติ โดยจะมีหน้าที่ควบคุมการหดตัวของหลอดเลือด ทำให้เลือดสามารถไหลเวียนภายในระบบไหลเวียนเลือดได้อย่างปกติ ทำหน้าที่กั้นไม่ให้เลือดผ่านออกไปนอกหลอดเลือด จากการที่ผนังของหลอดเลือดมีความแข็งแรง ทำให้เลือดไม่สามารถซึมออกนอกหลอดเลือดได้ ชั้นที่ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ไม่เปราะแตกง่าย คือ ชั้นนอก หลอดเลือดกั้นไม่ให้โปรตีนที่ใช้ในขบวนการแข็งตัวของเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดถูกกระตุ้น และสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการเกาะกันของเกล็ดเลือดและการแข็งเป็นลิ่มของเลือด เมื่อหลอดเลือดได้รับอันตราย เกิดการฉีกขาดและเกิดรอยรั่ว หลอดเลือดจะหดตัว เป็นการจำกัดจำนวนเลือดไม่ให้สูญเสียออกไป ขบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและทันทีที่หลอดเลือดได้รับอันตราย และถูกควบคุมโดยระบบประสาทและฮอร์โมน

ระบบเกล็ดเลือด (Platelet)
เกล็ดเลือดที่อยู่ในระบบไหลเวียนเลือดของร่างกาย มีรูปร่างกลม ขนาด 1.5-3 นาโนเมตร เป็นเซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียส สร้างมาจากซัยโตพลาสซึมของเซลล์เมกะคาริโอซัยท์ มีอายุประมาณ 9-10 วัน ในระบบไหลเวียนเลือด ในคนปกติจะมีประมาณ 150-400 พันล้านตัวต่อเลือด 1 ลิตร ประมาณหนึ่งในสามของเกล็ดเลือดจะอยู่ในม้าม ในภาวะปกติเกล็ดเลือดจะลอยอยู่ในกระแสเลือด ไม่เกาะกันเอง หรือกับเซลล์เม็ดเลือดอื่นๆ และไม่เกาะติดกับผนังของหลอดเลือด โครงสร้างของเกล็ดเลือดจะแบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ ส่วนนอก ส่วนสารเจล และส่วนอวัยวะชิ้นย่อย

ส่วนนอกประกอบด้วยเยื่อหุ้มเกล็ดเลือด ประกอบด้วยเยื่อบุชั้นนอกที่มีกลัยโคโปรตีนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ และประกอบเป็นโปรตีนตัวรับเกล็ดเลือดชนิดต่างๆ โปรตีนเหล่านี้ทำให้เกล็ดเลือดมีประจุลบ ซึ่งเป็นแรงผลัก ทำให้เกล็ดเลือดไม่เกาะกันเอง และไม่เกาะกับเยื่อบุหลอดเลือดที่ไม่ฉีกขาด ส่วนเยื่อบุที่อยู่ใต้ชั้นนอกประกอบไปด้วยสารไขมันฟอสโฟไลปิด มีความสำคัญโดยเป็นพื้นผิวสำหรับปฏิกิริยาของขบวนการแข็งเป็นลิ่มของเลือด สำหรับส่วนสารเจลเป็นส่วนของซัยโตพลาสซึมของเกล็ดเลือด ประกอบไปด้วยเส้นใยต่างๆ และทำให้เกล็ดเลือดคงรูปร่างอยู่ได้ ที่สำคัญได้แก่ ไมโครทูบุลและไมโครฟิลาเมนท์ รวมทั้งระบบท่อเล็กที่มีสาร ADP และแคลเซียมประกอบอยู่ โปรตีนที่ทำหน้าที่ในการยืดหดตัวคือ thrombosthenin มีลักษณะคล้ายกับโปรตีน actomyosin ส่วนสารเจลประกอบด้วยโปรตีนร้อยละ 30-50 ของโปรตีนในเกล็ดเลือดทั้งหมด ทำหน้าที่สำคัญในการเกิดรูปร่างเฉพาะ ส่วนขาเทียม และกระบวนการหลั่งสารของเกล็ดเลือด

ส่วนอวัยวะชิ้นย่อยประกอบไปด้วยแกรนูลชนิด dense granules ไมโตคอนเดรีย ลัยโซโซม เพอรอกซิโซม และออร์แกนเนลอื่นๆ ทั้งยังเป็นแหล่งเก็บสารและเอนไซม์ต่างๆ รวมทั้งเป็นแหล่งที่มีเมตะบอลิสมของสารต่างๆ แกรนูลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 300-500 นาโนเมตร ประกอบไปด้วยโปรตีนและกลัยโคโปรตีนหลายชนิด เกล็ดเลือดมีหน้าที่ช่วยในการห้ามเลือด โดยเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือด ทำให้เม็ดเลือดไม่สามารถลอดแทรกผนังหลอดเลือดออกมาภายนอกหลอดเลือดได้ และเมื่อหลอดเลือดได้รับอันตราย เกล็ดเลือดจะรวมตัวกันสร้างชิ้นส่วนมาอุดตรงบริเวณหลอดเลือดที่มีการฉีกขาด ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในสองอันแรกของร่างกายที่จะทำให้เลือดหยุดไหล
ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ

โรคหลอดเลือดหัวใจ

โรคหลอดเลือดหัวใจ
ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อุปนิสัยการบริโภคและการปฏิบัติตนของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ พบว่าอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้เพิ่มมากขึ้น และเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
สูบบุหรี่
เครียด
มีความดันโลหิตสูง
ไม่ออกกำลังกาย
มีไขมันในเลือดสูง
สตรีหลังหมดประจำเดือน
เป็นโรคเบาหวาน
สตรีที่กินยาคุมกำเนิด
มีน้ำหนักตัวเกินปกติ อ้วน
กินอาหารเค็ม
ผู้ป่วยโรคหัวใจ และหลอดเลือดตีบ อาจมีอาการแสดงได้หลายแบบ ได้แก่
1. เจ็บแน่นหน้าอก เป็นๆ หายๆ คล้ายช้างเหยียบ
2. เหนื่อยง่าย
3.ไม่มีอาการใดๆ แต่ทราบจากผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
4. จุก แน่นท้อง คล้ายโรคกระเพาะ
อาการเจ็บแน่นหน้าอก จากหัวใจ เจ็บแน่นหน้าอกมีลักษณะจำเพาะ เจ็บตื้อๆ แน่นๆ หรือ หนักๆ ตำแหน่งที่เจ็บเป็นที่กลางอกใต้กระดูกหรือเยื้องมาทางซ้าย อาจร้าวไปที่ข้อศอก หรือแขน คอ กราม
ระยะเวลาที่เจ็บนานประมาณ 3-5 นาที ถ้าหากเจ็บนานเกิน 30 นาที อาจเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้ ซึ่งจะมีอาการ
1. เหงื่อออก ใจสั่น หน้ามือคล้ายจะเป็นลม
2. เหนื่อย หายใจลำบาก
3. หัวใจวาย หมดสติถึงแก่ชีวิต
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ใช้ยา เช่น ยาลดการบีบตัวของหัวใจ ยาขยายหลอดเลือด ยาควบคุมความดันโลหิตสูง ยายับยั้งการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ยาลดไขมันในเลือด
การเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหัวใจโดยตรง ปัจจุบันมี 2 วิธี
1.การใช้บอลลูนขยายหลอดเลือด
2.การผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ/การผ่าตัด Bypass หลอดเลือดหัวใจ
การปฏิบัิติตัวเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
1. รับประทานอาหารให้พอดีกับความต้องการของร่างกายให้ครบ 5 หมู่ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารไขมันสูง อาหารที่เค็มจัด หวานจัด ควรรับประทานอาหารประเภทผัก และผลไม้ให้มากๆ
2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานได้ดี การออกกำลังกายที่เหมาะสมควรทำวันละ 20-30 นาที และ 3 ครั้ง ต่อสัปดาห์
3. ควบคุมโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
4. ทำจิตใจให้ร่าเริง แจ่มใสอยู่เสมอ อย่าเครียดนานๆ
5. ควรตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี จะช่วยค้นหาปัจจัยเสี่ยง และสามารถบอกแนวโน้มการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
6. ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
7. งดบุหรี่ เหล้า และสารเสพติดทุกชนิด
8. อย่าให้อ้วโดยเฉพาะอ้วนลงพุง
หัวใจ เป็นอวัยวะที่สำคัญของทุกชีวิต คุณจะไม่เสียเวลาและจะไม่เสียใจเลย ถ้าใส่ใจกับการดูแลสุขภาพของหัวใจเสียบ้าง อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็น โรคหลอดเลือดหัวใจ
แหล่งข้อมูล : มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย
ข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
ขจัดสี่วายร้ายให้ไกลตัว
อาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ว่าเป็นโรคหัวใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจ
ไขมันปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ/หัวใจกับไขมันในกระแสเลือด
คอเลสเตอรอลกับโรคหัวใจ